วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2551

อย่าปล่อยให้เท้า..ปล่อยกลิ่นประท้วง


หลังจากที่อ่านบทความเกี่ยวกับเรื่องรองเท้ากันไปแล้ว วันนี้นำบทความที่มีความเกี่ยวข้องกับรองเท้า ไม่ไกลนักมาฝากค่ะ


นอกจากเราจะต้องให้ความใส่ใจกับเรื่องรองเท้าแล้ว อีกหนึ่งเรื่องที่ควรให้ความสำคัญไม่แพ้กันนั้นก็คือ กลิ่นจากรองเท้าค่ะ ซึ่งบทความดีๆ นี้ได้มาจากคุณเอมอร คชเสนี ที่ได้นำคำแนะนำจาก นพ.ประวิตร พิศาลบุตร มาเขียนไว้ค่ะ ต้องขอขอบคุณ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ


สวมรองเท้าที่มีขนาดพอเหมาะ งานวิจัยทางการแพทย์ชี้ว่า เด็กจำนวนมากใส่รองเท้าที่เล็กเกินไป ราวครึ่งหนึ่งของเด็กหญิงวัยเรียนจะเกิดปัญหาเกี่ยวกับเท้า เมื่ออายุได้เพียง 10 ปี ความผิดปกติของเท้าหลายอย่าง เช่น เล็บขบ เล็บผิดรูปร่าง ตาปลา หรือกระดูกคด ล้วนเกิดจากการใส่รองเท้าที่มีขนาดไม่เหมาะสม


นอกจากนี้ควรเปลี่ยนถุงเท้าทุกวัน และมีรองเท้าหลายๆ คู่ ใส่สลับกันบ้าง คู่ใดไม่ได้ใส่ก็ผึ่งให้แห้ง นอกจากนี้ควรเลือกถุงเท้า รองเท้า ที่ระบายอากาศได้ดี เช่น รองเท้าหนังหรือรองเท้ากีฬาที่มีรูระบายอากาศ หรือรองเท้าเปิดหัว เปิดส้น


ล้างเท้าทุกวัน ยกเว้นกรณีที่ผิวหนังเท้าแห้งและแตกอยู่แล้ว หลังจากล้างเท้าไม่ควรสวมถุงเท้ารองเท้าทันที ควรรอให้เท้าแห้งสนิทก่อน อาจใช้ผ้าขนหนูซับหรือใช้พัดลมเป่าให้แห้งเร็วขึ้น เพราะเท้าที่เปียกชื้นจะติดเชื้อราที่เรียกว่า ฮ่องกงฟุต ได้ง่าย


เท้าเป็นอวัยวะที่มีต่อมเหงื่อมากมาย ทำให้เหงื่อออกมาก ถ้าไม่หมั่นทำความสะอาด เท้าและรองเท้าก็จะส่งกลิ่นเหม็นได้ง่ายๆ ขณะเดียวกัน ผิวหนังเท้ามีต่อมไขมันน้อย ฝ่าเท้าจึงแห้งและแตกง่าย ในกรณีนี้ต้องใช้ครีมหรือโลชั่นทาเพื่อให้ความชุ่มชื้น


ระวังส้นเท้าแตก ควรดูแลเท้าเป็นพิเศษระหว่างการอาบน้ำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เมื่อผิวหนังถูกน้ำจนนุ่มแล้ว ให้ใช้หินขัดขี้ไคลค่อยๆ ถูส่วนที่มีหนังหนาตัวขึ้นกว่าปกติ จากนั้นจึงทาครีมให้ความชุ่มชื้น นวดบริเวณส้นเท้าและฝ่าเท้า จนครีมซึมซาบเข้าไป วิธีนี้จะช่วยป้องกันส้นเท้าแตกได้


ใช้แป้งโรย หากเหงื่อออกที่เท้ามาก ใช้แป้งฝุ่นโรยก็ช่วยได้ เลือกใช้แป้งทั่วไปหรือแป้งเฉพาะสำหรับเท้าที่เรียกว่า foot powder ก็ได้ แป้งชนิดนี้มีลักษณะคล้ายแป้งฝุ่นทาตัว แต่เนื้อแป้งอาจหนากว่าและดูดซึมน้ำได้ดีกว่า การโรยแป้งทำให้ผิวที่เท้าแห้ง ไม่เปียกชื้น ลดการระคายเคือง ช่วยให้รู้สึกเย็นสบาย


ป้องกันเล็บขบ เล็บขบพบได้บ่อยในคนที่สวมรองเท้าคับเกินไปและตัดเล็บผิดวิธี เล็บมือนั้นตัดเป็นรูปโค้งมนตามนิ้วมือได้ แต่เล็บเท้าควรตัดเป็นเส้นตรง เพราะหากตัดโค้งมนตามนิ้วเท้า เมื่อเล็บงอกขึ้นมาใหม่ อาจงอกแทงผิวหนังข้างๆ เล็บ ทำให้เกิดการอักเสบบวมแดงได้


ผู้ที่มีโรคของระบบประสาททำให้เท้าชา เช่น โรคเบาหวาน ยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังดูแลรักษาเท้าให้มากขึ้น เพราะอาจเกิดแผลเรื้อรังที่เท้าได้ ปัจจุบันพบว่า คนไทยหลายคนเป็นโรคเท้าเหม็น (pitted keratolysis) โดยเฉพาะคนที่ชอบเดินเท้าเปล่าย่ำน้ำ เมื่อเท้าเปียกชื้นจากเหงื่อหรือน้ำที่เจิ่งนอง จะทำให้ผิวหนังยุ่ยและติดเชื้อแบคทีเรีย ลักษณะของโรคเท้าเหม็น จะเห็นเป็นหลุมเล็กๆ ที่ฝ่าเท้า บางครั้งหลุมอาจรวมตัวกันเป็นแอ่งเว้าตื้นๆ มักพบตามฝ่าเท้าที่รับน้ำหนัก และที่ง่ามนิ้วเท้า


โรคเท้าเหม็นมักพบในประเทศเขตร้อน พบได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ผู้ชายและผู้หญิง แต่พบได้บ่อยกว่าในผู้ชาย เพราะมีเหงื่อออกที่ฝ่าเท้ามากกว่า และผู้ชายมักสวมถุงเท้ารองเท้าอยู่ตลอดเวลา อาการสำคัญที่พบบ่อยที่สุด ถึงร้อยละ 90 คือเท้ามีกลิ่นเหม็นมาก อาการรองลงมาที่พบร้อยละ 70 คือเวลาถอดถุงเท้าจะรู้สึกว่าถุงเท้าติดกับฝ่าเท้า ส่วนอาการคันนั้นพบได้น้อย คือร้อยละ 8


การป้องกันโรคนี้คือ ต้องให้เท้าแห้งอยู่เสมอ อาจใช้แป้งฝุ่นฆ่าเชื้อโรยบ้าง ยารักษาสิวที่ใช้กันบ่อยคือ เบนซอยล์เปอร์ออกไซด์ ก็นำมาใช้รักษาโรคเท้าเหม็นได้ผลดี นอกจากนั้น ยาปฏิชีวนะและยาฆ่าเชื้อราชนิดทาก็รักษาโรคเท้าเหม็นได้


นอกจากนี้ โบท็อกซ์ ซึ่งใช้แพร่หลายในการลดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า ยังนำมาใช้ในกรณีนี้ด้วย โดยฉีดโบท็อกซ์เข้าไปที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า เพื่อลดเหงื่อที่ออกมากๆ แต่ค่าใช้จ่ายสูงมากคือครั้งละ 10,000-20,000 บาท ได้ผลประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี แต่การฉีดยาที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า จะเจ็บมาก วิธีนี้จึงยังไม่เป็นที่นิยม


อีกวิธีที่นำมาใช้รักษาเหงื่อออกมาก คือการใช้เครื่องมือไอออนโตที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบันว่าทำให้หน้าขาวใส และลบรอยแผลเป็นจากสิว การใช้ไอออนโตเพื่อลดเหงื่อออก ทำกันมานับ 70 ปีแล้ว โดยทำบริเวณที่มีเหงื่อออกมาก ครั้งละ 20-30 นาที สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จนเหงื่อลดลงเป็นปกติ วิธีนี้ไม่เจ็บและค่าใช้จ่ายไม่สูงนัก


นอกจากนี้ โรคบางอย่าง เช่น ไทรอยด์เป็นพิษ ก็อาจทำให้เหงื่อออกมากได้ ดังนั้นควรตรวจสุขภาพร่างกายบ้าง

สำหรับบางคนไม่ถึงกับเป็นโรคเท้าเหม็น แต่กลิ่นเท้าก็ตลบอบอวลมิใช่น้อย นอกจากการดูแลสุขภาพเท้าข้างต้นแล้ว ยังมีสูตรเฉพาะตัวที่เล่าต่อๆ กันมา ลองทำดูก็คงไม่เสียหาย


สูตรแรก เป็นสูตรเดียวกับสูตรดับกลิ่นรักแร้ คือใช้สารส้มผสมน้ำ ล้างเท้าทุกวัน

สูตรแช่เท้ามีหลายสูตร ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที

-น้ำอุ่นผสมน้ำส้มสายชูกับด่างทับทิม

-น้ำอุ่นผสมส้มฝานบางๆ อาจใช้มะนาวกับองุ่นด้วย

-น้ำอุ่นผสมกระเทียมทุบ 2-3 กลีบ

-น้ำชาจีนอุ่นๆ ต้มแก่ๆ


และสุดท้าย น้ำมะนาวคั้นสด 4 ช้อนโต๊ะ น้ำสะอาด 4 ช้อนโต๊ะ Vodka 5 ช้อนโต๊ะ Lemon essential oil 2 หยด และ Tea tree oil 5 หยด ผสมลงในขวดที่มีหัวฉีด เขย่าเบาๆ ให้เข้ากัน ใช้ฉีดเท้าหลังทำความสะอาดแล้ว โดยเขย่าขวดก่อนใช้ทุกครั้ง


อ่านจบแล้วก็อย่านำไปทดลองใช้กันดูนะคะ เพราะต่อให้รองเท้าสวย หรือมีราคาแพงแค่ไหน หากเท้าคุณมีกลิ่น ราคาและความสวยของรองเท้าคงหายอย่างแน่นอนค่ะ


วันอาทิตย์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2551

การเลือกรองเท้าส้นสูงให้เหมาะกับตัวเอง


สาว ๆ หลายคนคงจะเคยพบกับปัญหา จะเลือกรองเท้าส้นสูงอย่างไรดี ที่จะทำให้เราดูดี และสวมใส่สบาย ไม่อึดอัด ซึ่งวันนี้เราก็มีวิธีการเลือกรองเท้าส้นสูงอย่างง่าย ๆ มาฝากกัน


รูปเท้า : สิ่งแรกที่สาว ๆ ควรพิจารณา เพราะถ้าเลือกแบบที่ไม่เข้ากับรูปเท้าแล้ว เราจะใส่รองเท้า คู่นั้นสวยได้อย่างไร


คนที่มีเท้าเรียว อวบ นูนได้รูป เวลาที่จะเลือกซื้อรองเท้าจะค่อนข้างได้เปรียบ เพราะเป็นรูปเท้าที่ได้สัดส่วนสามารถเลือกรองเท้าใส่ง่ายและใส่แบบไหนก็ดูสวยหมด


ตรงข้ามกับคนที่มีเท้าลักษณะแบนราบ ควรเลือกรองเท้าที่มีลวดลายบริเวณด้านหน้าค่อนข้างกว้าง เพื่อช่วยบดบังส่วนที่เป็นจุดอ่อนของคุณ ส่วนรองเท้าแบบเปลือยไม่ค่อยเหมาะกับคนที่มีเท้าลักษณะแบนราบสักเท่าไร เพราะเวลาที่ใส่แล้ว รองเท้าจะดูหลวมๆ ไม่เต็ม สำหรับคนที่มีปลายเท้าบาน แนะนำว่าอย่าใส่รองเท้าที่มีปลายหัวแคบหรือแหลม เพราะมันจะบีบปลายเท้า ทำให้คุณเดินไม่สะดวก ถ้าจะให้ดีเลือกรองเท้าที่มีหัวกว้างหรือเหลี่ยมจะเข้าท่ากว่า


สีผิว : หลายคนมักจะสวมรองเท้าส้นสูงคู่กับถุงน่อง เพราะฉะนั้นเวลาที่เลือกซื้อรองเท้าควรสวมถุงน่องมาด้วย เพราะเมื่อถึงเวลาใช้งานจริง รองเท้าจะได้กลมกลืนกับสีถุงน่อง


ถ้าคุณเป็นผิวสีค่อนข้างคล้ำ อย่ากังวลว่าจะหารองเท้าที่เข้ากับสีผิวได้ยาก และอย่าเข้าใจผิดว่า สีสดใสอย่าง สีแดง สีส้ม สีเงิน และสีทองจะตัดกับผิวคุณจนเกินไป จริง ๆ แล้วสีที่ว่ามานี้จะเหมาะกับคุณมากกว่าโทนสีอ่อนเสียอีก


สำหรับคุณที่มีผิวขาว จะเหมาะกับรองเท้าที่มีสีโทนอ่อนนุ่มนวล เช่น ฟ้า ชมพู ม่วง หรือสีครีม เพราะสีอ่อน จะช่วยขับสีผิวที่เท้าและเรียวขาของคุณให้ดูนวลเนียน แต่ใครที่ชอบทาเล็บเท้า ทั้งสีเล็บเท้าและรองเท้าควรใกล้เคียงกันหน่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใส่รองเท้าแบบเปลือย เช่น หากทาเล็บเป็นสีชมพู สีรองเท้าก็ควรเป็นสีชมพูด้วย จะได้ดูกลมกลืนกันหน่อย


วัสดุ : รองเท้าที่เราเลือกซื้อจะใส่สบายและทนทานขนาดไหน วัสดุที่เลือกใช้ก็สำคัญ พื้นด้านในควรทำจากยาง หรือโพลียูริเทน ซึ่งมีคุณสมบัติในการยืดหยุ่น และให้ความนุ่มมากกว่ารองเท้าที่ทำจากหนัง เพื่อที่จะสะดวกในการรองรับน้ำหนัก ซับในที่ใช้บุรองเท้าควรทำจากวัสดุสังเคราะห์ที่มีคุณภาพสูง เพราะจะช่วยในเรื่องของการระบาย ไม่ทำให้รองเท้าอับชื้น และเกิดกลิ่นเหม็นอับได้


ถ้าเป็นรองเท้าหนัง ก็ควรเป็นหนังชนิดที่มีความนุ่ม หรือถ้ารองเท้าก็ควรทำจากผ้าซาติน และใยผ้าที่มีส่วนผสมของไลครา เพราะสามารถยืดหยุ่นตามสภาพการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ง่าย สายรองเท้า ก่อนซื้อควรสำรวจให้ดีว่า ขอบของสายรองเท้าจะต้องไม่คม ไม่บาดหรือเสียดสีเท้าของคุณ โดยเฉพาะช่วงที่ เป็นบริเวณของนิ้วเท้า


ถ้ารองเท้ามีขนาดสูงมาก ๆ เกินสองนิ้ว ควรจะมีสายรัดที่ข้อเท้าด้วย เพราะจะช่วยให้พยุงให้รองเท้ากระชับขึ้น ช่วยให้เดินสะดวกขึ้นด้วย ขนาดความยาวของสายรองเท้าไม่ควรสั้นจนเกินไป คือสามารถรัดรอบข้อเท้าของคุณได้พอดี นอกจากนี้ต้อง ไม่บางหรือเล็กจนเกินไปด้วย เพราะเส้นยิ่งเล็กก็จะไปกดผิวเนื้อ ทำให้เกิดอาการแสบและเป็นรอยด้านได้ในเวลาต่อมา โอกาสที่จะใช้ สไตล์ของรองเท้าคือสิ่งที่คุณไม่ควรมองข้ามเพราะมันจะบอกถึงรสนิยมความเป็นตัวคุณ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องดูโอกาสที่เราจะนำไปใส่ได้ด้วย

ถ้าเป็นรองเท้าที่ใส่ไปทำงาน สมัครงาน หรือติดต่อราชการ ควรเป็นรองเท้าที่ปิดหุ้มส้น เพราะแลดูสุภาพเรียบร้อย มากกว่ารองเท้าที่โชว์เท้าเปลือย แต่ถ้าเป็นวันสบายๆ เช่น ไปเที่ยวพักผ่อนหรือเดินช็อปปิ้ง อาจจะเลือกรองเท้าแบบส้นแบนติดพื้น หรือส้นสูง พอประมาณ หรือแบบเปลือยเก๋ ๆ ก็ได้ เพราะจะช่วยให้เดินสบายได้ทั้งวันโดยไม่รู้สึกเมื่อยเท้า


ครั้งหน้าเลือกซื้อรองเท้ารับรองว่าจะได้รองเท้าที่ราคาไม่แพง แต่ถูกใจแน่นอน แต่จะเลือกอย่างไรนั้นอย่าลืมเรื่องของกาลเทศะด้วยนะคะ.



ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันเสาร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2551

วิธีการแก้รองเท้ากัด

รองเท้ากัด มักจะเป็นปัญหาของคนที่ซื้อรองเท้าใหม่ ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าหนัง รองเท้าผ้าใบ หรือรองเท้าพลาสติก เมื่อถูกกัดแล้วจะทำให้เกิดแผลและเกิดอาหารปวด ทำให้เดินไม่สะดวก แถมยังเสียบุคลิกภาพอีกด้วย วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีแก้มาฝากกัน..



วิธีแก้ คือ ทาปิโตรเลียมเจลข้างในรองเท้า ทิ้งไว้ข้ามคืน เช็ดออกด้วยผ้าให้สะอาดแล้วค่อยสวม หรือทาน้ำมันมะพร้าวด้านในรองเท้า สามคืนติดต่อกัน น้ำมันมะพร้าวจะช่วยให้รองเท้านุ่มขึ้น หรือใครที่ไม่ชอบความมัน ก็ลองฝานมันฝรั่งดิบเป็นแผ่น ๆ วางไว้ในรองเท้า โดยเฉพาะบริเวณส้นเท้า ทำซ้ำเช่นนี้สองคืน


  • วิธีรักษา และลดอาการเจ็บเมื่อโดนรองเท้ากัด คือ ใช้แป้งข้าวเจ้าผสมน้ำให้พอข้น ทาบนบริเวณที่โดนรองเท้ากัด ทิ้งไว้จนแห้ง แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น เช็ดให้แห้ง จะช่วยลดความเจ็บแสบลง หรือจะใช้ใบสะเดาสองสามใบ ผสมกับผงขมิ้น เติมน้ำ แล้วบดให้กลายเป็นครีมข้น ทาลงบนแผลรองเท้ากัด วิธีนี้จะช่วยลดอาการเจ็บลงได้ อีกทั้งยังช่วยให้แผลแห้ง




ใส่รองเท้าคู่ใหม่ครั้งต่อไป ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้



ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์